สังเกตุอย่างนึง เวลาถามผู้ชายว่า fictional character crush หรือ celebrity crush คือใคร มันก็จะเป็น Sydney Sweeney ไม่ก็ Zendaya ตัวละครฮ็อตๆแบบพวก Lara Croft อะไรพวกนี้แต่พอไปถามผู้หญิงคือ range กว้างมาก มีตั้งแต่ Adam Driver ไปจนถึงตั๊กแตนจาก A Bug's Life
ไม่จำเป็นต้องเป็นกระหรี่ก็ได้ ลองเปลี่ยนกระหรี่เป็นอาชีพอื่นแล้วโดนทักประมาณว่าถ้าคุณมาจากประเทศ x แสดงว่าคุณเป็น y คือคนดีๆที่ไหนมันจะคิดว่าคนในประเทศนั้นทำอาชีพเดียวกันทั้งประเทศ มันสะท้อนความ ignorance ของคนพูดค่า
OMG รักจังวะ...ผิดจังหวะ - ไม่รู้หนังอยากให้อะไรกับคนดูนอกจากจะเล่าถึง dating life ของคนบางกลุ่มที่โคตรจะท็อกซิก ชื่อหนังบอกว่ารักจังวะแต่เรากลับไม่รู้สึกถึงความรักที่พระเอกมีต่อนางเอกเลยเพราะแม่งเอาแต่ได้ อยากได้นางเอกมาเป็นแฟนมากจนยอมทำอะไรที่มันทำร้ายนางเอกและคนรอบข้าง
ค้นพบว่าแพ้ทางหนังที่ตลค.ต้องซ่อนความเจ็บปวดของตัวเองและ pretend to be normal มาก รู้สึกว่าตัวเองร้องไห้เหมือนหมามากกว่าพวกหนังที่เค้นน้ำตาคนดูแบบ EEAAO อีก ตอนนี้ที่เคยดูก็นึกออกแค่ The Farewell กับ Aftersun
Stop Asian Hate ไม่ไปไหนสักทีเพราะมีคนเอเชียแบบอีพวกนี้อยู่เยอะมั้ยที่ไม่เชื่อว่า Asian hate crime มีจริง เขาคิดว่ามันคือสแกมที่พยายามทำให้อเมริกาแตกแยกโดย make it about race และการมีอยู่ของมูฟเม้นนี้มันทำให้คนเมิน core ของปัญหาจริงๆ แล้วคนมาเม้น agree เยอะมาก พอส่องปฟ. อ่อ คนขาว
มีคนมาวิเคราะห์เพลงของ The Weeknd ว่าเพลงแกไม่ใช่แค่เพลง toxic fuck boy เฉยๆแต่มันมีนัยยะมากกว่านั้น พอเจออีเรื่อง The Idol ไปสรุปมึงก็คือคนท็อกซิกนั่นแหละ ไม่มีอะไรดีปไปกว่านั้น เสียใจชิบหาย
ชอบที่ Modern Family มันเล่าเรื่อง age gap ของเจย์กับกลอเรียออกมาได้ดีแถมตัวละครก็ aware เรื่องนี้ตลอด ซซ.แรกๆมันจะมีฉากที่คนชอบ assume ว่าเจย์คือพ่อของกลอเรียแต่พอซีซั่นท้ายๆที่ผ่านมาสิบปีแล้วจะมีตอนนึงที่คน assume ถูกว่าเจย์คือสามีกลอเรียแล้วกลอเรียคือรู้สึก insecure มาก-
- Peeping Tom จะเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งคนคนนั้นรู้สึกได้ถึง Butterfly Kiss หรือการที่ดวงตาของคนสองคนอยู่ใกล้กันมากจนขนตาสัมผัสกัน จากนั้นก็จะถูก Peeping Tom ฆ่า ซึ่งนศ.ในเทปนั้นพยายามโกงโดยการใช้กล้องถ่ายแทนการจ้องและระหว่างถ่ายทำก็พบว่ากล้องถ่ายติดอะไรบางอย่าง
ดู Everything Everywhere All At Once แล้วไม่รู้ทำไมรู้สึกเศร้ากว่าเดิม เรารู้สึกว่าหรือเราจะเป็นแบบเอเวอลินในเรื่องวะ เป็นตัวเองเวอร์ชั่นลูสเซอร์สุด ทิ้งทุกโอกาสของตัวเอง(จริงๆก็ไม่ได้ทิ้งหรอกแต่ไม่มีโอกาสเลย) ยิ่งช่วงนี้อยู่ในภาวะ existence crisis ด้วย
History of Black Horror - เป็นสารคดีที่เอาคนดำในวงการหนังมาพูดคุยเรื่องปวศ.ของคนดำผ่านหนังสยองขวัญ เหมือนได้เห็นการเดินทางของคอมมูคนดำผ่านหนังสยองขวัญในยุคต่างๆ ดูแล้วแบบ คนดำเขาแม่งหนักแน่นในการต่อสู้ดีว่ะ ดูเพลินมาก หาดูได้ใน Shudder ใครขก.มุด vpn เดี๋ยวจะเขียนเล่าในเธรดกรุบๆ
Babylon - เหมือนดู La La Land เวอร์ชั่นฉาวกว่า มันคือจดหมายรักถึงภาพยนตร์และจดหมายด่าถึงฮอลลีวู้ด ส่วนตัวเราให้มันเป็น reminder ที่ทำให้เด็กฟิล์มที่คิดว่าตัวเองหมดไฟแบบเราฉุกคิดได้ว่าเราแค่เหนื่อยกับการทำงานแต่สิ่งที่ไม่ได้หายไปไหนเลยก็คือความรักที่เรามีต่อหนัง
พูดถึงตัวหนัง ความ Horror จริงๆมันไปกองอยู่ช่วงท้ายเรื่องซะมากกว่าเพราะระหว่างทางมันคือการเล่าถึงความหมกมุ่นและการทุ่มเทของพระเอกในการพยายามพิสูจน์ว่าเทปนศ.พวกนี้มันเป็นของจริงหรือเฟคแต่มันก็เอนจอยดีถ้าเป็นแฟนหนังแนว found footage เพราะตัวหนังมันค่อนข้างจะ Meta ประมาณนึง
แต่ในขณะที่เราเคยมีอดีตกับคนนึงแล้วยังคงรู้สึกดีมาตลอดแต่ความที่จังหวะชีวิตมันเหี้ย อย่าว่าแต่โอกาสจะคบเลย แค่มาเจอกันแบบเดินเล่นด้วยกันยังยากแล้ว ปัจจุบันสำคัญที่สุดก็จริง แต่บางครั้งมันก็อดสร้าง what if ในหัวแบบแฮซองไม่ได้แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตมันต้องเดินหน้าต่อ